Thursday, July 2, 2009

เคล็ดลับผิวสวยด้วยอาหาร

ค้นหาประเภทของผิวตัวเอง

วิธีเช็คง่ายๆคือ ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนๆ แล้วซับหน้าเบาๆให้แห้ง ไม่ต้องทา
มอยส์เจอไรเซอร์หรือครีมใดๆ รอประมาณ 3 ชั่วโมงจากนั้นให้นำกระดาษ
ซับมันแปะไว้ที่ 5 จุดของใบหน้า คือ ที่หน้าผาก แก้มทั้งสองข้าง จมูก และคาง แล้วนับ 1-10 จึงดึงออก

สังเกตดูกระดาษซับมัน ถ้าแผ่นไหนไม่มีน้ำมัน คือเมื่อส่องกับแสงแล้วไม่มีส่วนไหนโปร่งแสง หรือมีแต่น้อยมาก แสดงว่าผิวบริเวณนั้นแห้ง หากมีน้ำมันติดกระดาษออกมามากแสดงว่าผิวบริเวณนั้นเป็นผิวมัน ในคนผิวผสม กระดาษที่แปะไว้บริเวณหน้าผาก จมูกและคางจะมัน ส่วนแก้มจะค่อนข้างแห้งสนิท ในคนผิวแห้ง กระดาษทุกแผ่นจะแห้งสนิท
ผิวแห้ง



เน้นอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง เช่น ปลาแซลมอน ทูน่า แมคเคอเรล ปลาทู และอาหารที่มีโอเมก้า-6 เช่น น้ำมันจากดอกทานตะวัน ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดฟักทอง ถั่วเหลือง และมีวิตามินอีสูง เช่น เมล็ดธัญพืชและถั่วเปลือกแข็ง เพื่อเติมความชุ่มชื้นในชั้นผิว


งดอาหารรสจัด ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ ตัวการที่ขจัดน้ำในเซลล์ผิว
ผิวมัน



การที่ร่างกายกระตุ้นการผลิตน้ำมันในชั้นผิวมากเกินไป อาจเกิดการขาดวิตามินบี 2 ที่พบมากในเครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ไข่ และนม ในผลไม้มีในมะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะเขือเทศราชินี มะละกอ กล้วยไข่ มะปราง อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดธัญพืช ที่ช่วยปรับสภาพผิวโดยเฉพาะผิวมันให้ดูดี ไม่มันเยิ้ม



เลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว เช่น ผลิตภัณฑ์นมทุกชนิด เนื้อแดง ของทอด ซึ่งจะทำให้ต่อมไขมันเสียสมดุล และกระตุ้นการผลิตไขมันมากเกินไป

ผิวสัมผัสแสงแดดบ่อย



เน้นอาหารที่มีไลโคปีนสูง อย่างมะเขือเทศที่ผ่านการปรุงด้วยความร้อน เช่น ซุปมะเขือเทศ ดื่มชาเขียววันละ 3-5 แก้วทุกวัน สาร EGCG ในชาเขียวจะช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ และเสริมเกราะป้องกันผิวจากรังสียูวี หากเป็นไปได้ควรกินผักผลไม้ให้ครบ 5 สีต่อวัน เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงสมบูรณ์


งดดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อไม่ให้รบกวนกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ผิว และยังป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นมากขึ้นอีกด้วย
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงและสิ่งที่ควรปฏิบัติเพื่อผิวสวย

เลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัด

แม้การอาบน้ำอุ่นจะทำให้รู้สึกสบายผ่อนคลาย แต่น้ำอุ่นจะชะล้างไขมันที่ชั้นผิว และถ้าใช้สบู่ที่มีความเป็นด่างสูงหรือทำงานในห้องแอร์ตลอดวันด้วยแล้ว ยิ่งกระตุ้นผิวให้แห้งมากขึ้น ขั้นรุนแรงอาจเกิดรอยแตก แดง อักเสบได้

สิ่งที่ควรปฏิบัติ

  1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาทาประเภทคาลาไมน์ เพราะจะทำให้ผิวแห้งตึงมากยิ่งขึ้น
  2. เพิ่มปริมาณน้ำให้ผิวโดยใช้ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอีทาหลังอาบน้ำขณะผิวเปียกหมาดๆ
  3. หากทำงานในห้องแอร์ทั้งวัน ควรพกครีมบำรุงผิวขนาดเล็กติดกระเป๋า เพื่อใช้ทาระหว่างวันเมื่อรู้สึกผิวแห้ง
  4. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม ชา กาแฟ ที่ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำยิ่งขึ้น หมั่นดื่มน้ำให้มากและเน้นอาหารที่วิตามินเอ บี ซีสูง เพื่อช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ร่างกาย
ดื่มน้ำอัดลม กาแฟเป็นประจำ สูบบุหรี่จัด พักผ่อนไม่เพียงพอ
ปัจจัยเหล่านี้เป็นตัวเร่งให้ผิวร่วงโรยเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดการอักเสบใต้ผิวหนังและเกิดอนุมูลอิสระ หากประกอบกับความเครียดและการเผชิญกับมลภาวะต่างๆจะยิ่งส่งผลให้ผิวขาดความเปล่งปลั่ง หย่อนคล้อยและร่วงโรยเร็วขึ้น


สิ่งที่ควรปฏิบัติ



  1. เลิกพฤติกรรมข้างต้น กินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มวิตามินเอจากผัก ผลไม้สีส้ม เหลือง หรือแดง วิตามินซีจากส้มหรือผลไม้รสเปรี้ยว วิตามินอีจากถั่วและเมล็ดธัญพืช
  2. หากไม่แน่ใจว่าร่างกายได้รับวิตามินเพียงพอหรือไม่ ควรกินวิตามินเสริม โดยควรได้รับวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัม วิตามินเอไม่เกินวันละ 10,000 IU วิตามินอี 400-800 IU
  3. หมั่นบำรุงจากภายนอกด้วยการทาครีมที่มีส่วนผสมของแอนติออกซิแดนต์เช่น โคเอนไซม์คิวเทน (Q10) คอลลาเจน กรดวิตามินซี วิตามินอีบริสุทธิ์
เลี่ยงการสครับหน้าอย่างรุนแรง
นอกจากส่งผลให้ผิวบอบบางแล้ว ยังอาจทำให้ผิวแห้ง คนที่มีปัญหาสิว ผิวมัน หรือมีแนวโน้มเกิดสิวง่าย การขัดนวดหรือเช็ดถูรุนแรงจะยิ่งกระตุ้นการผลิตไขมันที่ชั้นผิว เกิดการอักเสบมากขึ้น อีกปัจจัยสำคัญคือความเครียด ที่จะกระตุ้นระดับฮอร์โมนให้แปรปรวน ก่อให้เกิดสิวได้ง่าย และยังทำให้ผิวร่วงโรยก่อนวัยอีกด้วย

สิ่งที่ควรปฏิบัติ


  1. ช่วงที่มีสิวหากจำเป็นต้องใช้เครื่องสำอาง ควรเลือกชนิดที่ปราศจากน้ำมัน (Oil Free) หรือครีมที่ระบุว่าไม่ก่อให้เกิดสิว (Non-acnegenic) หรือไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic)
  2. ควรสระผมบ่อยๆ อย่าปล่อยให้ผมมันปรกใบหน้า หากเป็นไปได้ให้เลือกใช้แชมพูสำหรับเด็ก หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม และหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า

เลี่ยงการเผชิญแสงแดดช่วง 10.00 น - 16.00 น.
แม้แสงแดดมีคุณประโยชน์ ช่วยสร้างวิตามินดีแก่ร่างกายเพื่อใช้ในการดูดซึมแคลเซียม แต่หากได้รับในปริมาณมากย่อมส่งผลเสียเช่นกัน รังสียูวีเอ (UVA) จะทะลุผ่านเข้าไปทำลายเซลล์ผิวถึงข้างใน ส่งผลให้คอลลาเจนในผิวเสื่อมก่อนเวลา รังสียูวีบี (UVB) สามารถก่อให้เกิดผิวไหม้แดง (sunburn) และส่งผลให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ยิ่งถ้าไม่ป้องกันเมื่อสะสมนานวันเข้า ก่อให้เกิดปัญหาผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ไม่เรียบเนียนและหยาบกร้าน
สิ่งที่ควรปฏิบัติ


  1. หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมง
  2. เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมป้องกันรังสียูวี (UV Protection) ไวเทนนิ่ง วิตามินอี หรือน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน ช่วยฟื้นฟูผิวแห้งกร้าน ควรทาครีมก่อนออกเผชิญแดดอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้เนื้อครีมซึมซาบและป้องกันแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง
  3. ควรทาลิปสติกที่มีสารกันแดด และสวมใส่แว่นกันแดดเพื่อถนอมสายตา
  4. หากต้องว่ายน้ำกลางแดด ควรใช้ครีมกันแดดชนิดกันน้ำ (Water-proof / Water resistant) และควรทาซ้ำหลังว่ายน้ำหรือเช็ดตัว
  5. หากสังเกตว่าผิวเริ่มแดง ควรรีบทาครีมบำรุงหลังการอาบแดด (After Sun) ที่มีสารบำรุงอย่างอโรเวราช่วยสมานผิวทดแทนการสูญเสียน้ำได้